ถ้าใครมาซ้อมปิงปองที่ศูนย์ฝึกกีฬาในร่ม การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก จะได้เห็นนักปิงปองทั้งทีมชาติ ทีมพารา หรือนักปิงปองเก่งๆหลายคนมาฝึกซ้อมกันที่นี่ จะได้เรียนรู้ศึกษาวิธีเล่นปิงปองไปในตัวโดยเฉพาะวิธีฝึกของแต่ละคน
วันก่อนได้เห็นนักปิงปองกำลังฝึกลูก Topspin โต้กันไปมา เห็นเขาซ้อมกันแล้วก็เพลินดี ตีโต้กันแต่ละลูกได้นานมาก พอเอ่ยปากบอกเพื่อนที่มาซ้อมกันให้ดู เพื่อนก็บอกว่าวิธีที่ซ้อมกันแบบนั้นน่ะผิดวิธี สังเกตให้ดีว่าระดับไหล่เวลาเหวี่ยงไปข้างหลังตอนอัดแรงกับตอนปล่อยแรงออกมานั้นน่ะ นักปิงปองทั้งคู่ไม่ได้รักษาระดับไหล่ให้ขนานกับพื้นไว้ตลอด แต่กลับเอียงไหล่ลงเพื่ออัดแรง พอปล่อยแรงไปข้างหน้าก็เอียงไหล่ขึ้น ทำให้เสียสมดุลและไม่สามารถตีโต้ลูกที่ย้อนกลับมาเร็วๆได้
ท่า Topspin ตีลูกที่ส่งมาแบบธรรมดา ไม่ได้เป็นลูกหนักแบบ Backspin จึงไม่จำเป็นต้องลากไม้จากจุดที่ต่ำใต้โต๊ะขึ้นมา และไม่จำเป็นต้องเอียงตัวจนไหล่เอียงลงตามไปด้วย ที่สำคัญเขาจะใช้การย่อขาและพับเอวไปข้างหน้าแทนการเอียงไหล่ลงไปด้านข้าง
การรักษาระดับไหล่ให้ขนานกันพื้นไว้จะทำให้แกนหมุนของลำตัวไม่ส่ายและจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายแทบไม่เขยื้อนจากเดิม จึงรักษาสมดุลไว้ได้ตลอด และช่วยให้ตีลูกได้แม่นยำ
แรงส่งลูกตามขึ้นจะมาจากการดีดตัวจากขาพับเป็นส่วนใหญ่ ส่วนลำตัวและแขนจะเป็นแรงส่วนย่อยที่ตามไปและควบคุมทิศทางของลูกให้วิ่งไปข้างหน้า
เนื่องจากไม่ได้ยืนห่างโต๊ะ จุดเริ่มต้นของการลากไม้ขึ้นจะอยู่เหนือระดับโต๊ะ เพื่อช่วยให้สามารถใช้ท่าเดียวกันตีลูกสั้นบนโต๊ะได้ด้วยครับ
แต่ถ้ายืนห่างโต๊ะ ต้องอาศัยแรงมากขึ้น ก็จะเหวี่ยงจากใต้โต๊ะขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามจะพยายามรักษาแนวระดับไหล่ให้ขนานกับระดับพื้นไว้เสมอตามรูปนี้
วิธีฝึกซ้อมของนักปิงปองไทยยุคนี้ แม้จะมีหลายท่าที่แปลกใหม่ แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการฝึกซ้อมของนักปิงปองจีนหรือญี่ปุ่นแล้ว บอกได้เลยว่า เรายังห่างไกลกับเขามาก เรียกว่า คุณภาพคนละระดับกันเลยทีเดียว ความใส่ใจในท่าทางการตีปิืงปองของเรายังน้อยมาก ลูกที่วิ่งออกไปก็แรงผิดจังหวะ จังหวะที่ควรจะหมุนมากกว่าแรงก็กลับแรงมากกว่าหมุน โดยเฉพาะยังขาดความแม่นยำ ยังเอาชนะกันด้วยความแรงและความเร็ว แต่ขาดการผสมผสานหลายๆท่าเข้าด้วยกันในการตีโต้