เมื่อลูกปิงปองที่ลอยข้ามเน็ตมากระเด้งที่โต๊ะฝั่งเรา วิถีของลูกที่กระเด้งแบ่งเป็น 3 จังหวะ

  • จังหวะที่ 1 เป็นช่วงที่ลูกเพิ่งกระเด้งขึ้นมีระยะความสูงมากกว่าหรือเท่ากับเน็ตขึ้นไป
  • จังหวะที่ 2 เป็นช่วงที่ลูกกระเด้งสูงสุด
  • จังหวะที่ 3 เป็นช่วงที่ลูกเริ่มวิ่งลง

 

123bounce

 

โดยทั่วไปมักแนะนำให้ตีลูกที่กระเด้งจังหวะที่ 1 เพื่อใช้ความเร็วทำให้คู่ต่อสู้ตั้งหลักไม่ทัน นักปิงปองที่ชำนาญสามารถตีลูก topspin สวนกลับไป(โดยไม่ต้องรอให้ลูกสูงกว่าเน็ตก็ยังได้) เพราะการหมุนมากๆของลูก topspin จะกดลูกให้มีวิถีที่ต่ำลงจึงสามารถตีกลับไปแรงๆโดยลูกยังลงโต๊ะฝั่งตรงข้าม หรือใช้เป็นจังหวะสำหรับ push ลูกที่ถูก backspin มา หรือ flip หรือบล้อคลูกที่ถูก topspin มา ซึ่งต้องระวังว่าถ้าตีลูกเร็วจนเกินไปในจังหวะที่ลูกยังกระเด้งไม่สูงกว่าเน็ต จะควบคุมให้ตีลูกกลับไปให้ลอยต่ำหรือเลียดเน็ตได้ยาก มักกลายเป็นลูกวิถีโค้งที่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้สวนกลับ

ลูกกระเด้งจังหวะที่ 2 เป็นจังหวะที่ลูกกระเด้งสูงที่สุด ควรใช้สำหรับการตีลูกกลับไปเป็นลูกวิถีตรง เหมาะสำหรับการตบหรือบล้อคแบบกระแทกลูกกลับไปเร็วๆแรงๆ

 

 

ลูกกระเด้งจังหวะที่ 3 เป็นจังหวะที่ใช้กับลูกที่ต้องการเวลาอ่านลูกให้มั่นใจก่อนว่าเป็นลูกที่ตีหมุนมาอย่างไร หรือใช้กับการ loop ลูกที่ตีมาแบบ backspin กลับไป ซึ่งไม่ควรรอให้ลูกลอยลงมาจนมีระยะต่ำกว่าเน็ต

นักปิงปองมือใหม่หรือมือบล้อคชอบตีลูกที่จังหวะที่ 1 เพราะยืนใกล้โต๊ะ ไม่ต้องใช้ฟุตเวิร์คเคลื่อนตัวมากนัก และสามารถใช้แรงที่ลูกลอยมากระเด้งกลับไปโดยไม่ต้องออกแรงของตัวเอง แต่จะไม่คล่องตัวในการโต้กลับลูกยาวที่ส่งลงมาปลายโต๊ะหรือลูกเร็วที่ส่งมาชิดตัวจนไม่สามารถขยับตัวหรือเหวี่ยงวงสวิงได้ทัน

เพื่อทำให้คู่ต่อสู้จับจังหวะการตีได้ยากที่สุด นักปิงปองต้องฝึกพลิกแพลงตีลูกทั้ง 3 จังหวะนี้ให้เป็นไม่ว่าจะตีท่าใด โดยเรียนรู้ที่จะใช้ฟุตเวิร์คเคลื่อนตัวห่างจากโต๊ะ ปรับมุมหน้าไม้ และเหวี่ยงวงสวิงให้เหมาะสม ยิ่งตีลูกไกลมากเท่าใด ยิ่งต้องควบคุมความแม่นยำให้มากขึ้นเท่านั้น โดยใช้แรงเหวี่ยงจากขา ลำตัว และไหล่ แทนการใช้แขนและข้อมือ เพราะถ้าตั้งหน้าไม้ผิดไปไม่กี่องศาจะส่งผลให้ลูกที่วิ่งไปไกลเบี่ยงเบนมากขึ้น

Copyright of www.TableTennisTip.com - www.facebook.com/TableTennisTip/

Go to top