ตามสถิติพบว่าคนเราตบลูกปิงปองแรงที่สุดจะได้ลูกที่วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 112 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (หรือ 70 mph) ซึ่งเงื่อนไขที่สำคัญนอกเหนือจากการตบลูกให้แรงที่สุดได้ต้องขึ้นกับว่า เมื่อตบแล้วต้องไม่เสียหลัก ไม่ล้ม สามารถควบคุมการทรงตัวของตัวเองได้ด้วยเพื่อสามารถตบลูกต่อไปได้ทันที
ถ้าได้ดูการซ้อมปิงปองของนักกีฬาทีมชาติ จะเห็นว่าการซ้อมน้อคลูกปิงปองไปมาของเขาตีได้แรงและเร็วกว่าที่นักปิงปองทั่วไปอย่างมาก ทั้งๆที่ยืนใกล้โต๊ะก็สามารถเหวี่ยงแขนโดยใช้วงสวิงที่กว้าง หรือแม้แต่ใช้ท่าบล้อคลูกที่ไม่ได้มีโอกาสเหวี่ยงแขนมากนักก็ยังสามารถตีโต้ลูกกลับไปได้แรง ซึ่งสิ่งที่ช่วยทำให้ตีได้แรงไม่ได้ขึ้นกับสภาพร่างกายที่แข็งแรงเพียงอย่างเดียว หากยังต้องวางเท้าให้ห่างออกจากกันให้มากที่สุด ให้เท้าหลังห่างจากโต๊ะมากกว่าเท้าหน้า และก้มตัวลงต่ำมากเพื่อลดระดับจุดศูนย์กลางของน้ำหนักตัวให้ต่ำเท่าที่จะต่ำได้ เพื่อช่วยทำให้สามารถทรงตัวอยู่ได้แม้จะออกแรงถ่ายน้ำหนักเพื่อตีแรงๆออกไป
การวางเท้าให้ขนานกับโต๊ะ(ที่วางเท้าซ้ายกับขวาห่างจากขอบโต๊ะด้านหลังเท่าๆกัน) เป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้นักปิงปองมือใหม่ไม่สามารถตีลูกได้แรง เพราะลูกจะวิ่งออกไปได้แรง ผู้ตีก็ต้องถ่ายนำหนักออกไปตามทิศทางที่ตีลูกด้วย เมื่อวางเท้าขนานกับโต๊ะจะถ่ายน้ำหนักตามทิศทางของการส่งลูกออกไปได้แรงไม่เต็มที่เพราะจะล้มได้ง่าย
การตั้งท่าตีลูกโดยวางเท้าขนานกับโต๊ะเป็นได้ตามหลักทฤษฎีที่ว่าเพื่อช่วยให้สามารถขยับตัวไปตีได้ทั้งโฟร์แฮนด์และแบคแฮนด์โดยไม่ต้องขยับเท้า แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ว่าจะวางเท้าแบบใดก็สามารถตีได้ทุกท่าอยู่แล้ว นักปิงปองต้องตัดสินใจขยับตัวเพื่อตั้งท่าเตรียมพร้อมตีลูกถัดไปซึ่งมีตำแหน่งต่างไปจากเดิมตลอดเวลา ใช่ว่าทุกลูกจะใช้ได้กับการวางเท้าขนานกับโต๊ะ มันจึงเป็นท่าวางเท้าในอุดมคติมากกว่าที่จะใช้ได้จริง
จุดอ่อนของคนที่วางเท้าแบบขนานกับโต๊ะนอกเหนือจากการตีลูกไม่ได้แรงแล้ว ยังเคลื่อนตัวรับเพื่อรับลูกสั้นยาวได้ไม่สะดวกอีกด้วย ถ้าถูกหยอดแล้วตีอัดเข้าตัวจะเริ่มเสียหลัก จากนั้นให้ตีลูกยาวโยกไปทางโฟร์แฮนด์ให้ห่างตัวเขามากที่สุด หรืออ่อยเหยื่อให้เขาออกแรงตีลูก loop แล้วโยกลูกเร็วสั้นหรือยาวก็ได้ ให้ใช้หลักทำให้เขาเสียการทรงตัวแล้วจึงบุกทำคะแนน